LISA Blackpink “ศิลปินเกาหลี แต่สัญชาติไทย” กับ “เรื่องไม่ง่าย” ที่จะถูกยอมรับในวงการ K-POP

Highlight

“แทกุกไลน์” คำเรียกศิลปินเกาหลี สัญชาติไทย ที่โลดแล่นอยู่ในอุตสาหกรรม K-POP แม้จะมีอยู่ไม่มากนัก แต่หลายคนจัดเป็นศิลปินคุณภาพโด่งดังระดับโลก ความสำเร็จของคนกลุ่มนี้ ยิ่งสร้างแรงกระเพื่อมด้านความฝันต่อเด็กไทย จำนวนไม่น้อยมุ่งมั่นที่อยากเป็นศิลปิน อย่างน้อย คือ การประสบความสำเร็จภายในประเทศ หรืออย่างมาก คือ โอกาสเข้าเทรนนิ่งจนถึงระดับเดบิวต์ที่เกาหลีใต้

ลิซ่า ลลิษา มโนบาล หรือ LISA Blackpink เป็นตัวอย่างของเด็กไทยสู่แทกุกไลน์ และเดบิวต์ในนามเกิร์ลกรุ๊ป Blackpink กับค่าย YG Entertainment เปิดตัวอย่างเป็นทางการ สิงหาคม ปี 2016 ปัจจุบัน ลิซ่าถือเป็นศิลปินเกาหลี สัญชาติไทยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง ความสำเร็จในนามวง Blackpink การันตีด้วยผลงานเพลงที่มียอดวิวใน YouTube ทะลุ 1 พันล้าน How You Like That (1.2 พันล้านวิว) DDU-DU DDU-DU (2.1 พันล้านวิว), Kill This Love (1.8 พันล้านวิว), BOOMBAYAH (1.6 พันล้านวิว ), As If It’s Your Last (1.3 พันล้านวิว) ซึ่งต่อยอดไปสู่ความสำเร็จแทบทุกด้าน รายได้ ภาพลักษณ์ความเป็นศิลปินระดับโลก และสถิติต่าง ๆ มากมายที่น่าชื่นชม

มุมมองความสำเร็จส่วนบุคคล ลิซ่ายังถือเป็นศิลปินเดี่ยวที่สร้างเซอร์ไพร์สและทะยานข้ามจุดประสบความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่า กว่าลิซ่าจะมาถึงจุดนี้ เธอต้องใช้ความพยายามและความอดทนอย่างยิ่ง จากจุดเริ่มต้นของการรักการเต้น ลิซ่าชนะการออดิชั่นของ YG Entertainment ในประเทศไทย ตอนอายุ 13 ปี ชนะบรรดาผู้สมัครเกือบ 4,000 คน และได้รับการฝึกฝนกับบริษัทเป็นเวลา 5 ปีก่อนที่จะเดบิวต์ โดยเป็นเด็กฝึกหัดต่างชาติคนแรกของค่ายในปี 2011 ก่อนจะได้เดบิวต์ในนาม Blackpink

ระหว่างเป็นเด็กฝึก หรือ Trainee ต่างไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อ้างอิงจากสารคดีวง Blackpink : Light up the sky เผยว่า ลิซาและเพื่อนใช้เวลาฝึกซ้อมร้องเพลง เต้น ซ้ำไปซ้ำมาวันละ 14 ชั่วโมง แต่ละเดือนมีวันหยุด 1-2 วันเท่านั้น เป็นแบบนี้กินเวลาหลายปี ทั้งยังมีการประเมิน Performance ผ่านการจัดเรตติ้งคะแนน การวิจารณ์ด้านสกิลต่าง ๆ เป็นระยะ จนเด็กฝึกหลายคนถอดใจ แลกมากับการไม่มีช่วงเวลาเกี่ยวเก็บประสบการณ์สนุกสนานตามประสาวัยรุ่น และยังไม่ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน

การเป็นเด็กไทย ท่ามกลางสังคมเกาหลี ดูเหมือนจำเป็นต้องใช้ความมานะบากบั่นมากเป็นพิเศษ เพราะต้องฝ่าฝันสมรภูมิชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า ช่วงแรก ๆ  กระแสแอนตี้ลิซ่าของคนเกาหลีใต้มีไม่น้อย เนื่องจากลิซาเป็นสมาชิกวงที่เป็นต่างชาติ ความนิยมของเธอน้อยกว่าสมาชิกวงคนอื่น ๆ โดยเฉพาะช่วงออกงาน Golden Disc Awards ครั้งที่ 33 (2019) พบกระแสกวิพากษ์วิจารณ์แรงแรงที่มุ่งเน้นเรื่องรูปร่างหน้าตาและเชื้อชาติ กระทั่งเกิด #RespectLisa บน Twitter 

ช่วงปี 2020 ลิซ่าได้รับ “คำขู่ฆ่า” และการคุกคามทางโซเชียลมีเดียอย่างหนัก ถึงขั้นสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโซลเคยทวิตข้อความบน Twitter Official “ในช่วง 2 – 6 พ.ค. 63 สถานทูตฯ ได้รับอีเมลและข้อความทาง twitter จำนวนมากจากผู้หวังดีแจ้งข่าวและความกังวลเกี่ยวกับการขู่ฆ่าคุณลลิษา มโนบาล (#ลิซ่า #Blackpink) ทางสื่อสังคมออนไลน์ สถานทูตฯ ได้แจ้งให้ #YGEntertainment พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว #blinks” ภายหลังพบว่า movement ดังกล่าวเกิดจากความห่วงใจจาก Blinks ก่อนที่ทางค่ายประกาศรับเรื่อง มีการรวบรวมหลักฐานและจัดการตามขั้นตอนอย่างเด็ดขาดต่อไป

ส่วน มิ.ย. 2020 ลิซ่ายังเคยถูกผู้จัดการคนสนิทหลอกลวงเงินประมาณ 1 พันล้านวอน โดยรับปากกันว่าจะเป็นช่วยเหลือเรื่องการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่ลิซ่าเริ่มได้ทำงานในฐานะศิลปินอย่างเป็นทางการระหว่าง ปี 2017-2021 Blinks บางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า YG Entertainment ไม่โปรโมตลิซ่าเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับสมาชิกคนอื่น ๆ ซึ่งพบว่ารูปและคลิปการทำงานของลิซ่ามีสัดส่วนถูกเผยแพร่น้อย หรือถูกเลือกเชิงเลือกปฏิบัติ เกิดเป็นกระแส #YGShouldTreatLisaBetter เป็นระยะ 

ปี 2023 มีข่าลือจากสื่อเกาหลีว่าลิซ่าเป็นสมาชิกของวงที่ได้ค่าตอบแทนน้อยที่สุดตลอดการเซ็นสัญญาหลายปีที่ผ่านมากับ YG Entertainment ช่วงหัวเลี้ยงหัวต่อการต่อสัญญาครั้งใหม่ เหตุการณ์ต่าง ๆ จึงแฟลชแบ็คกลับมา และคำถามโต ๆ จากแฟนคลับว่า YG Entertainment ทำหน้าที่ของค่ายได้ดีพอหรือไม่ ? และมีจำนวนไม่น้อยที่สนับสนุนหากลิซ่าจะโบกมือลา ออกกมาเป็นศิลปินเดี่ยวเต็มตัว (ประเด็นการต่อจึงสัญญายังมีความไม่แน่นอนจนถึงตอนนี้ ส.ค. 2023) ขณะที่ลิซ่าพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเธอมีดีกรีของการเป็นศิลปินระดับโลกอย่างแท้จริง และการทำงานกับแบรนด์ต่าง ๆ ได้รับความชื่นชมเสมอ ทำให้ยอดขายสินค้าและบริการที่เธอเข้าไปมีส่วนประชาสัมพันธ์ แทบจะขาดตลาดแทบทั้งสิ้น

ตั้งแต่ผ่านการออดิชั้น เทรนนิ่ง เดบิวต์ จนถึงสเต็ปของการเป็นศิลปิน อาจเรียกได้ว่า ลิซ่าเป็นสมาชิก Blackpink ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดก็ว่าได้ มียอดผู้ติดตามในอินสตาแกรมกว่า 90 บัญชีมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ในฐานะศิลปิน K-POP และในฐานะคนไทย ผลงาน Solo สามารถเปิดตัวไต่ชาร์ตเพลง Billboard Hot 100 ในอเมริกา โดย LALISA เปิดตัวที่อันดับ 84 และ MONEY เปิดตัวที่อันดับ 90 ทำให้เธอสร้างประวัติศาสตร์ “K-Pop ศิลปินหญิงเดี่ยวที่มีเพลงขึ้นชาร์ตนี้มากกว่า 1 เพลง” 

ล่าสุด World Music Awards รายงานว่าลิซ่าเป็นศิลปินหญิงคนแรกของโลกที่ที่มียอดวิวบนแอปพลิเคชัน TIKTOK (ติ๊กต๊อก) ทะลุ 1 แสนล้านวิว จากการถูกพูดถึงผ่านแฮชแท็ก #LISA เป็นต้น นอกจากนี้ ลิซ่ายังเป็น Global Brand Ambassador ของแบรนด์แฟชั่นและเครื่องสำอางระดับโลกอย่าง Celine, BVLGARI และ M.A.C Cosmetics และ Presenter ของแบรนด์ดังอย่าง DENTISTE, Ajaib Indonesia, Chivas Regal ปัจจุบัน ลิซ่าจึงถือเป็นผู้หญิงที่มีอิทธิพลในระดับสากลคนหนึ่งไปแล้ว

ต้องยอมรับว่า ลิซ่า ลลิษา มโนบาล กลายตัวแทนของความสำเร็จที่พิสูจน์ให้เห็นว่า “คนไทย” มีศักยภาพเพียงพอ เมื่อทุกอย่างถูกที่ ถูกเวลา แม้จะต้องผ่านบทพิสูจน์หนัก ๆ มาหลายครั้ง ลิซ่ายังคงกลับมาเฉิดฉาย เป็นศิลปินคุณภาพตลอดมา และทำงานอย่างมืออาชีพในทุกบทบาทที่ได้รับ ควรค่าแก่เงินทอง ทรัพย์สิน ชื่อเสียง ความรักของแฟน ๆ Blinks ทั่วโลกที่พร้อมสนับสนุนเธอตลอดไป ทั้งหมดทั้งมวล คือ การประกอบกันของความ Born to Be ของลิซ่า + ความพยายาม + การสนับสนุนที่เหมาะสมจากค่ายหรือนโยบายรัฐของเกาหลีใต้ จึงสามารถส่งคนหนึ่งคนไปยืนเป็นศิลปินแถวหน้าของโลก 

ท่ามกลางความสำเร็จที่น่ายินดีของลิซ่า หรือแม้แต่แทกุกไลน์คนอื่น ๆ ต้องยกเครดิตให้ฝั่งเกาหลีใต้ที่มองขาด ก่อนชวนย้อนมองดูประเทศไทย แม้ว่าทรัพยาการมนุษย์เราดีพร้อมแค่ไหน แต่หากแรงซัพพอร์ตที่ดี เราอาจเป็นได้แค่นี้ “ดีแล้วที่ลิซ่าได้ไปอยู่เกาหลีใต้ เพราะถ้าวันนั้นลิซ่าไม่ถูกเลือกไป วันนี้เธอจะทำอะไรอยู่ในสังคมไทย ก็ไม่อาจจินตนาการได้จริง ๆ” สุดท้ายนี้ ขอแสดงความชื่นชมแก่ “แทกุกไลน์” ทุกคนที่สร้างความสุขให้คนทั่วโลกและเป็นบุคคลที่สร้างความภาคภูมิใจแก่ประเทศไทยจริง ๆ

ที่มา : South China Morning Post, Stylecaster, Lifestyleasia, kbizoom, matichon

Popular Topics