ห้องสมุดสำหรับคุณคืออะไร?
ที่เงียบสงัดไว้เข้าไปทำการบ้าน ค้นคว้างาน
ที่เก็บหนังสือมากมายดูน่าเกรงขาม
หรือที่ ๆ อยากจะไป แต่นึกแทบไม่ออกว่าอยู่ตรงไหนของเมืองบ้าง
เป็นแบบนี้เพราะคนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือจริงรึเปล่า?
แต่แล้วทำไมงานหนังสือถึงมีคนเดินหนาแน่นทุกปีเลยนะ
ถ้าเราสามารถเข้าถึงหนังสือมากมายได้ฟรี ใกล้บ้าน หรือเดินทางสะดวกล่ะ
ถ้าที่ห้องสมุดมีที่นั่งมากมาย พร้อมไวไฟฟรีล่ะ
ถ้าที่ห้องสมุดมีน้องหมามานั่งอ่านหนังสือเป็นเพื่อน
มีห้องประชุม ห้องทำงานค้นคว้ากับเพื่อน ๆ
ฯลฯ
คุณจะอยากแวะไปห้องสมุดมากขึ้นไหม?
#Agenda พาคุณมาสำรวจอีกแง่มุมของ ‘ห้องสมุด’
ผ่านนโยบายของเมือง/ประเทศต่าง ๆ ทั้งในไทย และต่างประเทศ
ว่าหน้าตาห้องสมุดแต่ละประเทศเป็นอย่างไร
และมาดูกันว่า ใครให้ความสำคัญกับ ‘ห้องสมุด’ มากแค่ไหน?
ไทย – กรุงเทพฯ
ตั้งเป้าเป็น “มหานครแห่งการเรียนรู้” (เริ่มในปี 2556)
📚 ห้องสมุดที่อยู่ในการดูแลของกรุงเทพมหานครมีประมาณ 36 แห่ง* ต่อประชากร 5 ล้านคน
📚 ความเพียงพอ?
ในกรุงเทพมีห้องสมุดที่ทางกทม. ดูแลอยู่ประมาณ 36 แห่ง แต่ 36 แห่งนี้อยู่ใน 29 เขต (ไม่ได้มีทุกเขต) สำหรับประชากรจำนวน 5 ล้านคน โดยมีงบประมาณในการบริหารจัดการอยู่ประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี
ที่น่าสนใจคือความเอื้อในการเดินทางในกทม. ไปยังที่ต่าง ๆ รวมถึงห้องสมุด ยังมีปัญหาเชิงขนส่งสาธารณะและผังเมือง เช่น ค่ารถไฟฟ้าแพง รถเมล์มาช้า ฯลฯ หรือถ้าใช้รถส่วนตัว ห้องสมุดส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีที่จอดรถรองรับมากนัก อาจจะทำให้คนถอดใจที่จะไปห้องสมุดเสียก่อน
📚 สำหรับห้องสมุดเคลื่อนที่ของทางกทม.ก็มีเช่นกัน โดยมีให้บริการประมาณ 5 คัน ไปตามงานสำคัญ/โรงเรียน ที่ขอเข้ามา
เฮลซิงกิ – ฟินแลนด์
“เมื่อยืนอยู่บนระเบียงของห้องสมุด จะสามารถมองเห็นรัฐสภาอยู่ในระดับเดียวกัน”
คำกล่าวของ Nasima Razmya รองนายกเทศมนตรีด้านวัฒนธรรมของเฮลซิงกิ – ฟินแลนด์
📚 มีห้องสมุดในเมือง 36 แห่ง ต่อประชากร 1.3 ล้านคน
ฟินแลนด์ขึ้นชื่อเรื่องการให้ความสำคัญต่อ ‘นิสัยรักการอ่าน’
โดยมีรัฐบาลผลักดัน สนับสนุนอย่างจริงจรัง ผ่านกฎหมายห้องสมุด โดยมี พ.ร.บ.ห้องสมุดสาธารณะตั้งแต่ทศวรรษที่ 20 มีใจความคือ ห้องสมุดต้องเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้
📚 สำหรับเมืองหลวงอย่างเฮลซิงกิ ในโอกาสครบรอบ 100 ปีที่ฟินแลนด์ประกาศอิสรภาพ
รัฐบาลได้ตั้งโครงการมอบห้องสมุดกลางเฮลซิงกิเป็น ‘ของขวัญ’ ให้ประชาชน ชื่อว่า ‘ห้องสมุดโอดิ’
ห้องสมุดนี้มีทุนสร้างเกือบ 3 พันล้านบาท โดยสร้างบนพื้นที่ตรงข้ามรัฐสภา
ชนิดที่ว่า “เมื่อยืนอยู่บนระเบียงของห้องสมุดจะสามารถมองเห็นรัฐสภาอยู่ในระดับเดียวกัน”
ฟินแลนด์ยังให้งบห้องสมุดสูงถึงปีละ 12,000 ล้านบาท ในการจัดซื้อหนังสือใหม่และบริหารจัดการบริการต่าง ๆ ให้ประชาชนฟรี ไม่ว่าจะเป็น
– ห้องสมุดเคลื่อนที่ ที่ไม่ว่าจะมีคนอาศัยอยู่ที่ไหนก็จะจัดห้องสมุดไปให้ ทั้งในน้ำ หรือในป่า
– เพราะเน้นออกแบบห้องสมุดให้เป็นพื้นที่สำหรับใช้ชีวิต
ในห้องสมุด จึงไม่ได้มีแค่หนังสือ แต่มีกิจกรรมให้ทำมากมาย เช่น เวิร์กชอป ศิลปะ การแสดง และยังมีการฝึกสุนัขมานั่งฟังเด็ก ๆ อ่านหนังสือ จะได้ไม่เหงาอีกด้วย
น่าคงตอบคำถามได้อย่างดีว่าฟินแลนด์ให้ความสำคัญกับ ‘ห้องสมุด’ มากแค่ไหน? สามารถอ่านที่ #Agenda สรุปไว้เพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ
📚 ผลลัพธ์ก็คือในหนึ่งปี…
คนฟินแลนด์ 1 คนยืมหนังสือห้องสมุดประมาณ 12 เล่ม
สถิติยืมคืนหนังสือรวมกว่า 4 ล้านครั้ง
มีการตีพิมพ์หนังสือใหม่กว่า 10,000 เล่ม
ถึงแม้จะมีหนังสือฟรีให้เข้าถึงขนาดนี้ คนฟินแลนด์ก็ยังจ่ายเงินซื้อหนังสือปีละกว่า 11,000 บาท
ไต้หวัน – เกาสง
“ แดนสวรรค์ของนักอ่าน ”
📚 ปัจจุบัน มีห้องสมุด 60 แห่ง ต่อประชากร 1.5 ล้านคน
📚 นโยบายสนับสนุนของห้องสมุดเมืองเกาสง เป็นการเริ่มใช้กลยุทธ์บริการแบบใหม่ๆมากมาย ทำให้สถิติการใช้ห้องสมุดเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- ‘1 เขต 1 ห้องสมุด’ จากเดิมในเมืองเกาสงมีห้องสมุดแค่ 17 แห่ง หลังจากนโยบายที่ใช้งบประมาณกว่า 260 ล้านเหรียญไต้หวัน ห้องสมุดในเมืองเกาสงก็เพิ่มขึ้นเป็น 60 แห่ง
- ‘กล่องแห่งการอ่าน’ หนึ่งในบริการที่น่าสนใจของห้องสมุดประชาชนเกาสง โดยนำเรื่องราวพื้นถิ่นทำเป็นหนังสือสำหรับเด็กแรกเกิด ด้วยแนวคิด ‘หนังสือเล่มแรก’ แล้วใส่กล่องแจกให้ครอบครัวละ 1 เล่ม พร้อมซีดี 5 ภาษา : จีนกลาง, จีนไต้หวัน, จีนแคะ, เวียดนาม และภาษาพื้นถิ่น เป็นการสนับสนุนให้ครอบครัวอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ยังเด็ก
- ‘ยืม E-Books ฟรี 60 เล่มต่อปี’ บริการที่นักอ่านแฮปปี้ โดยห้องสมุดจะจ่ายเงินส่วนนี้ให้กับผู้จำหน่ายเอง ด้วยความเชื่อที่ว่า ยิ่งมีคนอ่านมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ทั้งสำนักพิมพ์และนักเขียนได้ประโยชน์มากขึ้น
📚 การเข้าถึงห้องสมุด
แม้ว่าเมืองเกาสงจะมีห้องสมุดหลายแห่ง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะอยากไปห้องสมุด จึงเกิด ‘ตู้ยืมหนังสืออัตโนมัติ’
แค่จองหนังสือผ่านออนไลน์ ไม่ว่าหนังสือเล่มนั้น จะอยู่ที่สาขาไหนของเมือง ห้องสมุดก็จะส่งไปยัง ‘ตู้ยืมหนังสืออัตโนมัติ’ ในสถานีรถไฟฟ้าที่ระบุไว้ แค่ใช้บัตรรถไฟฟ้าแตะที่ตู้ ก็จะมีแขนกลหยิบหนังสือที่จองไว้ออกมาให้ ซึ่งเป็นบริการที่รวดเร็ว ไม่มีค่าใช้จ่าย สร้างความประทับใจให้ผู้คนเป็นอย่างมาก
ด้วยการสนับสนุนที่หลากหลายทำให้ห้องสมุดประชาชนเกาสงกลายเป็น ‘โมเดลต้นแบบ’ ให้กับเมืองอื่นๆ อีกทั้งยังส่งผลทางอ้อมให้อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์กลับมาเฟื่องฟู เพราะการอ่านหนังสือกลายเป็นงานอดิเรกของทุกคนไปเสียแล้ว
เยอรมนี
“ พื้นที่การเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ”
วัฒนธรรมการอ่านของคนเยอรมันถูกปลูกฝังจากครอบครัวผ่านการ ‘อ่านหนังสือร่วมกัน’ ดังนั้นการมีอยู่ของห้องสมุดช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงความรู้ ‘คนไร้บ้าน คนที่ยังไม่มีงานทำ ผู้อพยพ ลดหย่อนค่าสมัครสมาชิกได้’
📚 ปัจจุบัน มีห้องสมุด 4,719 แห่ง ต่อประชากร 83 ล้านคน
📚 นโยบายสนับสนุนห้องสมุดในเยอรมนีแตกต่างกันไปในแต่ละเมือง โดยจะอยู่ในความดูแลขององค์กรปกครองท้องถิ่น ทำให้ดำเนินงานได้อิสระ ปรับให้สอดคล้องในแต่ละชุมชนได้
ห้องสมุดกลางชเลสวิก-โฮลชไตน์ ได้พัฒนา ‘เกมสมมุติ’ ให้เยาวชนฝึกแยกแยะข่าวปลอมจากอินเทอร์เน็ต ในขณะที่ห้องสมุดเมืองมิวนิก มองว่า ความเป็นจริงผู้ใหญ่มีทักษะทางเทคโนโลยีน้อยกว่า จึงมีเริ่มกิจกรรมอบรมให้กับกลุ่มผู้ปกครอง
คลิงมูห์ล หมู่บ้านในแคว้นเอลเบอ-เอลชเตอร์ เข้าถึงห้องสมุดยากเพราะตั้งอยู่ห่างจากชุมชน จนในที่สุดนำไปสู่การให้บริการ ‘รถห้องสมุดเคลื่อนที่’ เส้นทางและเวลาเดินรถกำหนดไว้ตายตัว แม้การคมนาคมจะสะดวกขึ้น แต่ห้องสมุดเคลื่อนที่ก็ยังเป็นที่นิยมเพราะอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงหนังสือ สั่งจองหนังสือผ่านอินเตอร์เน็ต จากนั้นก็รอรถห้องสมุดนำหนังสือไปส่งตามวันเวลาที่กำหนด
📚 สื่อทันสมัย ใช้ฟรี เพื่อสร้างพื้นที่แห่งความสร้างสรรค์ ‘Open Creative Space’ ให้เข้ากับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
ห้องสมุดกลางแห่งเมืองโคโลญ เต็มไปด้วยเครื่องมือการเรียนรู้ที่ทันสมัย เช่น เครื่องสแกนสามมิติ, ไอแพด, กีตาร์, อุปกรณ์ซอฟต์แวร์ดนตรี, แว่นตาเสมือนจริง, เปียโน แม้กระทั่งจักรเย็บผ้า ผู้ใช้บริการสามารถอัดรายการพอดแคสต์และสื่อดิจิทัล โดยไม่มีค่าใช้จ่าย จนได้รับการโหวตให้เป็นสุดยอดห้องสมุดเยอรมันแห่งปี 2015
สิงคโปร์
“พื้นที่น้อย แต่จัดสรรอย่างชาญฉลาด”
📚 27 แห่ง ต่อประชากร 5.9 ล้านคน
📚 สิงคโปร์มีพื้นที่น้อย สร้างห้องสมุดได้ไม่มาก National Library Board (NLB) หรือคณะกรรมการห้องสมุดแห่งชาติของสิงคโปร์จึงมุ่งเน้นในการสร้างพื้นที่สำหรับอ่าน และนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการให้ผู้คนเข้าถึงหนังสือ หรือสื่ออื่น ๆ ให้ได้มากที่สุดแทน
แม้สิงคโปร์จะมีห้องสมุดจากรัฐเพียง 27 แห่ง แต่มีผู้เข้าเยี่ยมปีหนึ่ง ๆ กว่า 24 ล้านราย และมีการยืม-คืนรายการต่าง ๆ กว่า 30 ล้านรายการ
นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยีมาใช้กับห้องสมุดอีกหลาย ๆ ส่วนด้วย เช่น
– หุ่นยนต์ช่วยหาหนังสือ
– มีโรงละคร นิทรรศการ AR แกลลอรี่ศิลปะ
– ยืม/คืน ต่อเวลา ด้วยหุ่นยนต์ทั้งหมด
ที่มา : Worldpopulationreview, NLB, TCIJThai, Thematter, TKPark, Posttoday, Bangkokcitylibrary, Newstatesman, Blockdit, YLE