มอสส์คืนชีวิต The Secret Source of Forest มอสส์สำคัญกับผืนป่าและผู้คนแค่ไหน?

0
435

สีเขียวชอุ่ม กำมะหยี่นุ่มที่ปกคลุมบนเปลือกไม้ คอยปลดปล่อยพลังชีวิตให้ป่าที่ถูกทำลายได้ฟื้นฟู มอสส์ พืชเล็ก ๆ ที่หลายคนมักมองข้าม แต่จริง ๆ เป็นฮีโรที่คอยช่วยเหลือธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และมนุษย์ให้อยู่รอดมาตลอด

.

มอสส์สำคัญกับผืนป่าและผู้คนแค่ไหน? #Agenda สรุปมาให้แล้ว

- Advertisement -

.

– จุดเริ่มต้นระบบนิเวศ

มอสส์เป็นพืชโบราณโดยอยู่มานานกว่า 450 ล้านปี ผ่านสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงมาอย่างมากมาก โดยในปัจจุบันมีมอสส์ที่ถูกค้นพบมากถึง 12,000 สายพันธุ์ทั่วโลก ซึ่งมีการคาดการณ์ว่ายังมีอีกเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยอุปสรรคทางด้านเครื่องมือที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีด้าน microscope ที่มีความแม่นยำสูงทำให้ยังมีการค้นพบไม่มากเท่าที่ควร 

.

มอสส์เป็นพืชกลุ่ม Bryophyta ที่ไม่มีราก แต่มีอวัยวะที่เรียกว่า ไรซอยด์ (Rhyzoids) ซึ่งมีความสามารถในการยึดเกาะที่สูง ทำให้มอสส์สามารถขึ้นได้ทุกที่และทุกพื้นผิวตั้งแต่ ดิน ต้นไม้ ไปจนถึงหิน นอกจากนี้มอสส์ยังมีความสามารถในการปรับตัวให้อยู่รอดได้ทุกสภาพอากาศอีกด้วย โดยมอสส์บางชนิดสามารถอยู่ได้ตั้งแต่อุณหภูมิ 100 องศา ไปจนถึงอุณหภูมิติดลบ 272 องศา และเมื่อประกอบกับการแพร่พันธุ์ที่อาศัยสปอร์ มอสส์จึงมักเป็นพืชชนิดแรกที่ขึ้นและเป็นจุดเริ่มระบบนิเวศในพื้นที่ต่าง ๆ 

.

– อนุบาลสัตว์เล็ก

โครงสร้างภายในที่ซับซ้อนของมอสส์ ทำให้มอสส์กลายป็นทั้งที่หลบภัย ที่อยู่อาศัย ที่วางไข่ ไปจนถึงแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ แมลง สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กหลายชนิด ซึ่งการสร้าง Micro Habitat ที่เป็นเอกลักษณ์นี้เองทำให้มอสส์ช่วยสร้างความหลากหลายและความสมดุลให้เกิดในระบบนิเวศโดยรวมในที่ต่าง ๆ ได้ โดยในประเทศแคนาดาพบว่ามีเต่ามาอาศัยบริเวณมอสเพื่อช่วยให้ผ่านช่วงฤดูหนาวไปได้อีกด้วย

.

– ปราการหน้าดิน

ด้วยการยึดเกาะที่แน่นเหนียวของมอสส์ทำให้มอสส์เป็นเหมือนผ้าห่มคลุมดิน ซึ่งคอยปกป้องหน้าดินจากการสึกกร่อนหรือการชะล้างเวลาฝนตกหนักหรือเกิดน้ำป่ารุนแรง และมอสส์ยังคอยช่วยปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมแก่หน้าดินในเวลาที่อากาศร้อนหรือหนาวเกินไปอีกด้วย นอกจากนี้ชั้นดินที่มีมอสส์ปกคลุมมักจะมีแร่ธาตุ อาทิ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส คาร์บอน มากกว่าดินชั้นอื่น ๆ และมอสส์ยังช่วยปรับความสมดุลให้แก่หน้าดินซึ่งส่งผลให้พืชสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

.

– ยกระดับธรรมชาติ

ด้วยโครงสร้างที่คล้ายฟองน้ำของมอสส์ทำให้สามารถกักเก็บน้ำได้เป็นอย่างดี ซึ่งทำให้เกิดความชุ่มชื้นในบริเวณพื้นผิวที่มอสส์ยึดเกาะ เมื่อมอสส์คลุมหน้าดินจะช่วยให้เมล็ดพันธุ์มีอัตราในการงอกได้มากยิ่งขึ้น แถมด้วยโครงสร้างลักษณะดังกล่าวยังทำให้ มอสส์สามารถปรับปรุงคุณภาพแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ได้อีกด้วย เพราะเมื่อน้ำไหลผ่าน โครงสร้างของมอสส์จะดูดซับเอามลพิษ โลหะหนัก และตะกอนต่าง ๆ เอาไว้ ทำให้น้ำมีคุณภาพที่ดีขึ้น

.

– ต้านภัยโลกร้อน

มอสส์คือพืชเล็ก ๆ ที่สามารถช่วยดักจับและกักเก็บคาบอร์นไดออกไซด์ในอากาศได้ ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็กแต่ด้วยจำนวนที่มากทำให้มอสส์ทำหน้าที่เป็นฮีโร่ต้านภัยโลกร้อนได้เช่นกัน โดยมอสส์ทั่วโลกสามารถรองรับคาร์บอนได้มากกว่าที่ดินเปล่าถึง 6.43 ร้อยล้านตัน นอกจากนี้ยังสามารถทำหน้าที่เหมือนเครื่องกรองอากาศคอยดูดซับมลพิษทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้น ลดก๊าซเรือนกระจก แถมยังเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศผ่านการคายน้ำได้อีกด้วย

.

– พิทักษ์สุขภาพคน

นอกจากประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ในประวัติศาสตร์ด้านการแพทย์ยังพบว่า มอสส์ถูกนำมาใช้เป็นยารักษาแผล ยาฆ่าเชื้อ และยารักษาโรคผิวหนังบางชนิด ในศตวรรษที่ 17-20 และในตอนที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 อีกด้วย ซึ่งจากประวัติตรงนี้เองทำให้ในปัจจุบันมีการวิจัยและพยายามนำมอสส์มาใช้เป็นยารักษาโรคชนิดอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกด้วย

.

ไม่หมดเพียงเท่านั้นเพราะสภาพแวดล้อมที่ปกคลุมไปด้วยมอสส์ ด้วยโทนสีเขียวและบรรยากาศที่เงียบสงบยังมีผลในการบรรเทาความเครียดให้แก่มนุษย์อีกด้วย ซึ่งได้มีการนำมอสส์มาใช้ตกแต่งหรือประดับภายในบ้านด้วยเช่นกันเพราะเป็นพืชขนาดเล็กที่ไม่ต้องใช้พื้นที่เยอะ และสามารถอยู่รอดได้ในสภาพอากาศต่าง ๆ 

.

มอสส์ได้กระจายอยู่ในทุกพื้นที่ทั่วโลก โดยสถานที่ที่ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก 3 ที่คือ

.

1. Hoh Rain Forest

ป่าสงวนแห่งชาติในรัฐวอชิงตันที่มีความหลากหลายของมอสส์มากถึง 130 ชนิด โดยจากการสำรวจพบว่า ใน 1 ต้นไม้มีมอสส์อยู่มากถึง 6-7 ชนิดเลยทีเดียว โดยในป่าแห่งนี้มีการค้นพบมอสส์อยู่ในหลากหลายบริเวณทั้งบนพื้นดิน รากไม้ ต้นไม้ ไปจนถึงการห้อยลงมาจากกิ่งไม้

.

2.  Yukushima Forest

ป่าที่สวยงามในประเทศญี่ปุ่นโดยมีมอสส์ถึง 600 ชนิด ขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณป่า ช่วยเพิ่มความสวยงามของป่าในยามฝนตกได้เป็นอย่างดี จนถูกนำไปใช้เป็นต้นแบบของแอนิเมชันของสตูดิโอ Ghibli เรื่อง “Princess Mononoke” เลยทีเดียว การมีอยู่ของมอสส์ช่วยให้ป่านี้สามารถอยู่รอดได้แม้ประสบภัยพิบัติอย่างรุนแรง

.

3. Eldhraun Lava Field

ทุ่งลาวาขนาดใหญ่ในประเทศไอซ์แลนด์ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการเย็นตัวของลาวาจากการปะทุของภูเขาไฟ Laki โดยในปัจจุบันทุ่งลาวาขนาดใหญ่ถึง 565 ตร.กม. นี้ถูกปกคลุมทั่วไปด้วยมอสส์ โดยมอสส์เป็นพืชชนิดแรกที่เกิดขึ้นหลังจากลาวาเย็นตัว และจากการค้นหาพบว่า มีพืชชนิดอื่น ๆ ที่กำลังจะเติบโตขึ้นมา โดยอาศัยมอสส์เป็นฐานด้วยเช่นกัน

.

อย่าพลาด! โอกาสสำคัญในการใกล้ชิดกับพืชมหัศจรรย์นี้ Agenda x divana เชิญทุกท่านสัมผัสประสบการณ์ภายในงาน ‘Revital Moss Garden’ ที่จะพาทุกท่านเดินทางเข้าสู่ป่ามอส หนึ่งในปรากฏการณ์ธรรมชาติ อันเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง แหล่งฟื้นฟูพลังชีวิตและจิตวิญญาณ

.

ร่วมผ่อนคลายและดื่มด่ำกับอากาศอันบริสุทธิ์ในวันที่ 2 สิงหาคม 2024 นี้เวลา 12:30 น. ณ divana Atelier Emsphere

.

ที่มา: Silvotherapy, Royal Botanic Gardens Kew, National Library of Medicine, University of Michigan, National Park Maine, The Official Kyushu Travel Guide, Meanderingwild, Iceland24, Olympic Hiking, PBS Terra, กรมพัฒนาที่ดิน

บทความก่อนหน้านี้CopenHill ภูเขาเผาขยะที่ฉีกกรอบโรงงานผลิตมลพิษสู่ “สวนสนุก” กลางเมือง
บทความถัดไป‘divana’ ดีวานา แบรนด์เครื่องหอมสาย Sustain ตั้งเป้าเลิกใช้พลาสติกภายใน 2035