สรุป 3 เทรนด์การเงิน ที่จะเปลี่ยนโลกในอีก 5 ปี

Highlight

• Technology กำลัง Disrupt วงการการเงินในแบบเดิมๆ และธุรกรรมการเงินก็กำลังเปลี่ยนรูปโฉมไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
• Blockchain จะมาแทนที่ตัวกลางในธุรกรรมการเงินอย่างธนาคาร ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า และตรวจสอบได้ง่ายกว่า
• ทุกบริษัทสามารถมีบริการทางการเงินเป็นของตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแค่บริษัท Fintech
• ต่างประเทศเริ่มใช้ Open API เพื่อทำลายกำแพงที่ปิดกั้นข้อมูลการเงิน และเปิดโอกาสให้ต่อยอด Fintech มากขึ้น

ซื้อของใช้-หาเงินเรียน-ตั้งตัว-หารายได้เสริม-เกษียณ 

นอกจากการทำงานเพื่อหาเงินใช้ และการใช้เงินแล้ว
ไม่ว่าจะจังหวะไหนของชีวิต ‘ความรู้เรื่องการเงิน (Financial Literacy)’ ตั้งแต่การรู้จักวางแผนการเงิน การออม การลงทุน ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรมีติดตัวไว้

และการแบ่งปันความรู้เรื่องลงทุน ก็เป็นหัวใจสำคัญของ FINNOMENA สตาร์ทอัพเทคโนโลยีการลงทุนที่ขับเคลื่อนโดยคนรุ่นใหม่ มีความมุ่งมั่นที่จะให้ความรู้และการลงทุนที่ถูกต้อง เข้าใจง่ายให้กับคนไทย

อย่างตอนนี้ ในยุครุ่งสุดๆ ของเทคโนโลยี โลกการเงินก็กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จนมีบริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีการเงิน หรือ FinTech เกิดขึ้นมากมาย

และคุณกวิน ติระบริสุทธิ์ CPO หรือ Chief Product Officer แห่ง FINNOMENA ก็ยินดีที่จะเล่าให้เราฟัง ถึงเทรนด์ FinTech ทั่วโลก ที่กำลังมาแรงและหวังว่าจะได้เห็นในประเทศไทยเยอะขึ้น พร้อมยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้พวกเราเห็นภาพกันด้วย

จะมีเทรนด์อะไรบ้าง #AGENDA สรุปมาให้แล้ว

1. DeFi (Decentralized Finance)

ไร้ตัวกลาง พัฒนาต่อยอดง่าย ต้นทุนต่ำ

DeFi หรือ Decentralized Finance คือ บริการทางการเงินที่ไร้ตัวกลาง โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain มาทำหน้าที่บันทึกและดำเนินธุรกรรมแทน

ที่ Blockchain เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะมีความเสี่ยงต่อการโดนโจมตีและบิดเบือนข้อมูลในระบบที่ต่ำ มี Platform อย่าง Ethereum ที่ให้คนทั่วไปสามารถเข้าไปพัฒนาต่อยอดบริการต่างๆได้ และบริการเหล่านี้ยังมีต้นทุนค่าบริการต่ำด้วย เนื่องจากไม่มีต้นทุนพนักงาน

ตัวอย่าง

Synthetic Asset การสร้างสินทรัพย์เสมือนจริงขึ้นมาเพื่อซื้อขาย โดยที่อิงกับมูลค่าสินทรัพย์จริง เช่น ซื้อขายหุ้น สกุลเงินต่างๆ ตัวอย่างเจ้าดังๆเช่น MakerDAO, Mirror, Synthetix

Lending บริการฝาก-กู้ยืม Cryptocurrency ตัวอย่างเช่น Compound, AAVE

Exchange บริการซื้อขายแลกเปลี่ยน Cryptocurrency ตัวอย่างเช่น Uniswap, Balancer

———–

2. Embedding Fintech

ทุกบริษัท มีบริการการเงินได้

หลายๆ ธุรกิจ กำลังขยับขยาย Product ของตัวเองเข้ามาสู่บริการที่เกี่ยวข้องกับการเงิน

ทำให้ในตอนนี้ แทบทุกบริษัทสามารถมีบริการทางการเงินเป็นของตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่แค่ธนาคาร สถาบันการเงิน หรือบริษัท Fintech

ความหลากหลายตรงนี้ ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากกว่าธนาคารหรือสถาบันการเงิน เนื่องจากรู้ข้อมูลและพฤติกรรมของผู้ใช้บริการ

ตัวอย่าง

Grab และ Robinhood
แอปพลิเคชั่น Food Delivery ที่สามารถพลิกตัวเองมาปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการและ Driver 

Line BK เปิดบริการ ‘Social Banking’ ให้ลูกค้าสามารถ ‘แชท-โอน-ยืม-จ่าย’ ครบจบใน Line

Facebook Pay ให้บริการรับชำระเงิน 

———–

3. Open Banking

ทลายกำแพงข้อมูลการเงิน

Open Banking เป็นเทรนด์ที่น่าสนใจและยังไม่เกิดขึ้นในไทย 

Open Banking คือการที่สถาบันการเงินหรือบริษัทเทคโนโลยี สามารถใช้ข้อมูลการเงินของผู้ใช้บริการได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ซึ่งต้องเปิดช่องทางเชื่อมโยงข้อมูล (Open API)

ซึ่งคุณกวินอธิบายว่า การเปิด API จะเป็นการทำลายกำแพงที่ปิดกั้นข้อมูลมหาศาล และข้อมูลมหาศาลนี้เอง ที่จะทำให้เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมทางการเงิน ต่อยอด และเพิ่มมูลค่าได้อีกมากมาย แต่ต้องมีการควบคุมขอบเขตการนำข้อมูลไปใช้ 

ส่วนประเทศไทยยังไม่มีการทำตรงนี้ เพราะยังมีอีกหลายจุดที่ต้องกำกับดูแล

ตัวอย่าง

– ผู้ใช้บริการ หรือตัวเราเอง สามารถเห็นข้อมูลบัญชีธนาคารที่อยู่ต่างธนาคารกันได้ ผ่านช่องทางเดียว ทำให้ตัวเราสามารถดูพฤติกรรมการใช้เงิน และวางแผนการเงินได้สะดวกมากขึ้น

– การขอสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชั่นของบริษัทเทคโนโลยี สามารถเรียกข้อมูลการเงินของผู้ขอใช้บริการจากธนาคารต่าง ๆ ได้ทันที เพื่อใช้เป็นหลักฐานยื่นให้ธนาคารพิจารณา ผ่านระบบอัตโนมัติ

Popular Topics