ซื้อของใช้-หาเงินเรียน-ตั้งตัว-หารายได้เสริม-เกษียณ
นอกจากการทำงานเพื่อหาเงินใช้ และการใช้เงินแล้ว
ไม่ว่าจะจังหวะไหนของชีวิต ‘ความรู้เรื่องการเงิน (Financial Literacy)’ ตั้งแต่การรู้จักวางแผนการเงิน การออม การลงทุน ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรมีติดตัวไว้
และการแบ่งปันความรู้เรื่องลงทุน ก็เป็นหัวใจสำคัญของ FINNOMENA สตาร์ทอัพเทคโนโลยีการลงทุนที่ขับเคลื่อนโดยคนรุ่นใหม่ มีความมุ่งมั่นที่จะให้ความรู้และการลงทุนที่ถูกต้อง เข้าใจง่ายให้กับคนไทย
อย่างตอนนี้ ในยุครุ่งสุดๆ ของเทคโนโลยี โลกการเงินก็กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จนมีบริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีการเงิน หรือ FinTech เกิดขึ้นมากมาย
และคุณกวิน ติระบริสุทธิ์ CPO หรือ Chief Product Officer แห่ง FINNOMENA ก็ยินดีที่จะเล่าให้เราฟัง ถึงเทรนด์ FinTech ทั่วโลก ที่กำลังมาแรงและหวังว่าจะได้เห็นในประเทศไทยเยอะขึ้น พร้อมยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้พวกเราเห็นภาพกันด้วย
จะมีเทรนด์อะไรบ้าง #AGENDA สรุปมาให้แล้ว
1. DeFi (Decentralized Finance)
ไร้ตัวกลาง พัฒนาต่อยอดง่าย ต้นทุนต่ำ
DeFi หรือ Decentralized Finance คือ บริการทางการเงินที่ไร้ตัวกลาง โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain มาทำหน้าที่บันทึกและดำเนินธุรกรรมแทน
ที่ Blockchain เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะมีความเสี่ยงต่อการโดนโจมตีและบิดเบือนข้อมูลในระบบที่ต่ำ มี Platform อย่าง Ethereum ที่ให้คนทั่วไปสามารถเข้าไปพัฒนาต่อยอดบริการต่างๆได้ และบริการเหล่านี้ยังมีต้นทุนค่าบริการต่ำด้วย เนื่องจากไม่มีต้นทุนพนักงาน
ตัวอย่าง
– Synthetic Asset การสร้างสินทรัพย์เสมือนจริงขึ้นมาเพื่อซื้อขาย โดยที่อิงกับมูลค่าสินทรัพย์จริง เช่น ซื้อขายหุ้น สกุลเงินต่างๆ ตัวอย่างเจ้าดังๆเช่น MakerDAO, Mirror, Synthetix
– Lending บริการฝาก-กู้ยืม Cryptocurrency ตัวอย่างเช่น Compound, AAVE
– Exchange บริการซื้อขายแลกเปลี่ยน Cryptocurrency ตัวอย่างเช่น Uniswap, Balancer
———–
2. Embedding Fintech
ทุกบริษัท มีบริการการเงินได้
หลายๆ ธุรกิจ กำลังขยับขยาย Product ของตัวเองเข้ามาสู่บริการที่เกี่ยวข้องกับการเงิน
ทำให้ในตอนนี้ แทบทุกบริษัทสามารถมีบริการทางการเงินเป็นของตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่แค่ธนาคาร สถาบันการเงิน หรือบริษัท Fintech
ความหลากหลายตรงนี้ ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากกว่าธนาคารหรือสถาบันการเงิน เนื่องจากรู้ข้อมูลและพฤติกรรมของผู้ใช้บริการ
ตัวอย่าง
– Grab และ Robinhood
แอปพลิเคชั่น Food Delivery ที่สามารถพลิกตัวเองมาปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการและ Driver
– Line BK เปิดบริการ ‘Social Banking’ ให้ลูกค้าสามารถ ‘แชท-โอน-ยืม-จ่าย’ ครบจบใน Line
– Facebook Pay ให้บริการรับชำระเงิน
———–
3. Open Banking
ทลายกำแพงข้อมูลการเงิน
Open Banking เป็นเทรนด์ที่น่าสนใจและยังไม่เกิดขึ้นในไทย
Open Banking คือการที่สถาบันการเงินหรือบริษัทเทคโนโลยี สามารถใช้ข้อมูลการเงินของผู้ใช้บริการได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ซึ่งต้องเปิดช่องทางเชื่อมโยงข้อมูล (Open API)
ซึ่งคุณกวินอธิบายว่า การเปิด API จะเป็นการทำลายกำแพงที่ปิดกั้นข้อมูลมหาศาล และข้อมูลมหาศาลนี้เอง ที่จะทำให้เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมทางการเงิน ต่อยอด และเพิ่มมูลค่าได้อีกมากมาย แต่ต้องมีการควบคุมขอบเขตการนำข้อมูลไปใช้
ส่วนประเทศไทยยังไม่มีการทำตรงนี้ เพราะยังมีอีกหลายจุดที่ต้องกำกับดูแล
ตัวอย่าง
– ผู้ใช้บริการ หรือตัวเราเอง สามารถเห็นข้อมูลบัญชีธนาคารที่อยู่ต่างธนาคารกันได้ ผ่านช่องทางเดียว ทำให้ตัวเราสามารถดูพฤติกรรมการใช้เงิน และวางแผนการเงินได้สะดวกมากขึ้น
– การขอสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชั่นของบริษัทเทคโนโลยี สามารถเรียกข้อมูลการเงินของผู้ขอใช้บริการจากธนาคารต่าง ๆ ได้ทันที เพื่อใช้เป็นหลักฐานยื่นให้ธนาคารพิจารณา ผ่านระบบอัตโนมัติ